การปลูกแคนตาลูป เงินลงทุน ประมาณ 26,000 บาท ( รวมค่าแรงและค่าวัสดุ ) รายได้ 45,000 บาท : 4,500 กิโลกรัม : ไร่ ...
การปลูกแคนตาลูป
เงินลงทุน
ประมาณ 26,000 บาท (รวมค่าแรงและค่าวัสดุ)
รายได้
45,000 บาท : 4,500 กิโลกรัม
: ไร่ (ราคาเฉลี่ย 10
– 15 บาท : 1 กิโลกรัม)
วัสดุ/อุปกรณ์
จอบ
เสียม เครื่องสูบน้ำ สายยาง เครื่องฉีดพ่นสารเคมี กรรไกรตัดแต่งกิ่ง
แหล่งจำหน่ายวัสดุอุปกรณ์
ร้านจำหน่ายวัสดุอุปกรณ์การเกษตรทุกแห่ง
วิธีการปลูก
1. เตรียมดิน โดยไถดินให้ลึก 30-40 ซม. ตากดินไว้เช่นนั้นประมาณ 7–10 วัน แล้วไถพรวนให้ร่วนหว่านปูนขาวในอัตรา
100-200 กิโลกรัม : ไร่
พร้อมใส่ปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยคอก
อัตรา 2,000 กิโลกรัม : ไร่
และปุ๋ยสูตร 15–15–15 อัตรา 500
กิโลกรัม : ไร่
2. ทำแปลงปลูกขนาดกว้าง 1 ม.
ด้านที่ปลูกพืช คลุมด้วยพลาสติก อีกด้านหนึ่งคลุมด้วยตาข่ายพลาสติก
เพื่อให้พืชสามารถเกาะเลื้อยไปในทิศทางเดียวกัน ถ้าเป็นแปลงแบบขึ้นค้างจะใช้ระยะความห่างระหว่างต้น
50 ซม. ระยะความห่างระหว่างแถว
1.2 – 1.5 ม. ส่วนการปลูกแบบเลื้อยจะใช้ระยะความห่างระหว่างต้น
70 - 100 ซม. ระยะความห่างระหว่างแถว
3 - 4 ม.
3.
วิธีการเตรียมต้นกล้าแคนตาลูป
ที่เพาะไว้
3.1 นำดินร่วนผสมกับปุ๋ยคอกที่สลายตัวแล้วโรยด้วยปุ๋ยสูตร
0–46–0 แล้วคลุกเคล้าให้เข้ากัน
3.2 กรอกดินผสมลงในถุงปลูก
(สีดำ)
3.3 นำเมล็ดหยอดตรงกลางถุง ๆ ละ 1-2 เมล็ด
ประมาณ 3 - 4 วัน เมล็ดจะเริ่มชูใบเลี้ยงขึ้นมา
ควรแกะเปลือกเมล็ดออกแล้วรดน้ำเช้า - เย็น
ควรแกะเปลือกเมล็ดออกแล้วรดน้ำเช้า - เย็น
3.4 เมื่อต้นกล้าอายุ
10 - 12 วัน และมีใบแท้ 2
- 3 ใบ ต้องย้ายต้นกล้าไปปลูกในแปลง
ตามข้อ 2
4. วิธีการย้ายที่ปลูก
4.1 ก่อนย้ายไปปลูก 1 - 2
วัน ต้องงดให้น้ำต้นกล้า เพื่อให้ต้นกล้าชะงักการเจริญเติบโตชั่วคราว
4.2 ควรรดน้ำในหลุมปลูกให้ชุ่มก่อน เลือกนำต้นกล้าที่แข็งแรงลงปลูกหลุมละ 1 ต้น
หลังจาก ปลูกเสร็จควรรดน้ำให้ดินปลูกชุ่มชื่นอีกครั้ง
4.3
ต้องให้น้ำต้นกล้าอย่างสม่ำเสมอเช้า
- เย็น โดยเฉพาะหลังการติดผล หากขาดน้ำจะทำให้ผลไม่โตและอาจทำให้ผลกรอบปริแตก
4.4
การให้ปุ๋ยหลังย้ายปลูก 7-10
วันใส่ปุ๋ยยูเรียอัตรา 1 ช้อนแกง : น้ำ
10 ลิตรแล้วรดน้ำที่โคนต้น20-30 วัน
ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 25
กิโลกรัม : ไร่ โดยใส่ปุ๋ย
ระหว่างต้น 40 วัน ใส่ปุ๋ยสูตร 13-13-21
หรือ 14-14-21
อัตรา 25 กิโลกรัม : ไร่
และก่อนการเก็บเกี่ยวผลผลิต 1-2 สัปดาห์ ให้หว่านปุ๋ยโปแตสเซียมผสมปุ๋ยยูเรีย อัตรา 1
: 1 เพื่อเพิ่มความหวานและ
สีสันของ ผลน่ารับประทานยิ่งขึ้น
5.
วิธีการป้องกันกำจัดศัตรูพืชและแมลง
โรคเหี่ยว ควรหลีกเลี่ยงการปลูกซ้ำพื้นที่เดิมที่เคยปลูกพืชตระกูลแตงชนิดอื่น
โรคราน้ำค้าง ป้องกันด้วยสารดาโคนิล
ริโดมิล หรือเอพรอน 35
โรคไหม้ กำจัดด้วยสารพวกคาร์เบนดาซิมและเบนเลท
แมลงเต่าทองและหนอน กำจัดด้วยสารพวกโมโนโครโตฟอส
เพลี้ยไฟ กำจัดด้วยสารพวกคาร์โปซัสแฟนและเมทโธมิล
วิธีตัดแต่งเพื่อการเก็บเกี่ยว
ควรตัดแต่งกิ่งแขนง ตั้งแต่ข้อที่
1 - 8 ออกให้หมด โดยเริ่มไว้ดอกหรือผลแคนตาลูป ตั้งแต่ข้อที่
9 - 10 และ 10 - 11 ข้อละ 1 ผล ส่วนแขนงที่เกิดตั้งแต่แขนงที่ 13 ขึ้นไปตัดแต่งออกให้หมด เพื่อให้ผลที่เก็บไว้มีการเจริญเติบโตได้ดี
เมื่อผลมีขนาดเท่าไข่ไก่หรือไข่เป็ดให้เลือกผลที่ดีที่สุดไว้เพียงผลเดียว
และห่อผลให้เรียบร้อยเพื่อป้องกันแมลงเลือกเก็บเกี่ยวแคนตาลูปสุกไม่น้อยกว่า
80% โดยพิจารณา ดังนี้
1.
นับอายุหลังจากดอกเริ่มโรยไม่ต่ำกว่า 30 – 35 วัน
2.
สังเกตรอยแตกปริของขั้วผลสีผิว ถ้าเป็นพันธุ์ที่มีตาข่ายจะสังเกตเห็นตาข่ายนูนขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน
3. มีกลิ่น พันธุ์ที่มีกลิ่นหอม
เมื่อสุกจะได้กลิ่นแตงสุก
ตลาด/แหล่งจำหน่าย
ตลาดสด/ผลไม้ ตลาดสี่มุมเมือง
ตลาดไท ขายส่งพ่อค้าคนกลางที่มารับในสวน
ข้อแนะนำ
ชนิดพันธุ์ที่ควรปลูก ได้แก่
1. พันธุ์หวานสีทอง (นัมเบอร์วัน)
ผิวสีเหลืองสวยงาม น้ำหนักผล 2 –
2.5 กิโลกรัม อายุเก็บเกี่ยว 70 – 75 วัน
หลังการย้ายลงแปลงปลูก
2. พันธุ์โลว์แลนด์ (LOWLAND) แข็งแรง ทนต่อโรคราน้ำค้าง
ปลูกได้ตลอดปี อายุเก็บเกี่ยว 70
–75 วัน หลังการย้ายลงแปลงปลูก
3. พันธุ์อะโรม่า (AROMA) แข็งแรง ทนต่อสภาพอากาศร้อนและโรคราน้ำค้างได้ดีกลิ่นหอม รสหวาน
ผลผลิตสูง น้ำหนักผลประมาณ 1 กิโลกรัม อายุเก็บเกี่ยว 65 – 70 วัน หลังการย้ายลงแปลงปลูก
4. พันธุ์ซันเลดี้ (ปลูกไม่ได้ในฤดูหนาว)
Images form: facebook